กาแฟดีแคฟ คาเฟอีนต่ำ ทางเลือกใหม่ของคอกาแฟ

กาแฟดีแคฟ

กาแฟดีแคฟ เป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยมอย่างมากด้วยรสชาติ และกลิ่นที่มีความโดดเด่น รวมถึงสรรพคุณที่ช่วยกระตุ้นร่างกาย ให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า แต่สารคาเฟอีนจากการดื่มกาแฟในปริมาณที่มากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ดีแคฟ หรือ กาแฟคาเฟอีนต่ำ จึงอาจเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการจำกัดปริมาณคาเฟอีน ในบทความนี้ tawenpachim จึงได้รวบรวมเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ ดีแคฟ ทางเลือกใหม่สำหรับคอกาแฟมาให้ได้ศึกษากัน

กาแฟดีแคฟ คืออะไร ทำไมถึงได้รับความนิยม

กาแฟดีแคฟ คืออะไร

กาแฟดีแคฟ ย่อมาจาก Decafeiented หรือ Decaf coffee ใช้เรียกกาแฟที่ผ่านกระบวนการสกัดเอาคาเฟอีนออก จนเหลือปริมาณเพียงเล็กน้อย คือประมาณ 1- 3% ขณะที่รสชาติ และความเข้มของสี ก็จะมีการเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำลายความเชื่อมั่นที่มีต่อกาแฟ และอาจใช้เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติกาแฟ แต่ต้องการควบคุมปริมาณคาเฟอีน อย่างผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางชนิด รวมทั้งผู้ที่ดื่มกาแฟหลายแก้วต่อวัน ให้สามารถดื่มด่ำกับรสชาติกาแฟได้

กาแฟดีแคฟ ดื่มแล้วดีกว่ากาแฟปกติ จริงหรือไม่

การดื่มกาแฟที่ไม่ผ่านการสกัดคาเฟอีนออก อาจช่วยให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์มากกว่า กาแฟดีแคฟ เนื่องจากกาแฟโดยทั่วไป อุดมไปด้วยสารอาหาร และสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งเชื่อกันว่า มีส่วนช่วยในการทำงานร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 โรคตับแข็ง โรคพาร์กินสัน และโรคมะเร็งหลายชนิด

นอกจากนี้ สารคาเฟอีนในกาแฟ ยังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง และตื่นตัว ปรับสมดุลด้านอารมณ์ เพิ่มความสามารถด้านความจำ กระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย และลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้บริโภคที่มีโรคประจำตัว หรือภาวะความเจ็บป่วย ที่จำเป็นต้องควบคุมปริมาณคาเฟอีน กาแฟดีแคฟ อาจเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับการดื่มกาแฟได้

กาแฟดีแคฟดื่มแล้วปลอดภัย กว่าการดื่มกาแฟปกติ จริงหรือไม่

กาแฟดีแคฟ และกาแฟปกตินั้นมีคาเฟอีนเหมือนกัน เพียงแต่ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟดีแคฟจะต่ำกว่ามาก ผลกระทบที่อาจได้รับจากการดื่มจึงลดลงตามไปด้วย ทั้งกาแฟปกติ หรือกาแฟคาเฟอีนต่ำหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมย่อมปลอดภัยต่อร่างกาย ในทางตรงกันข้ามหากรับประทานมากเกินไปก็อาจเป็นอันตรายได้เช่นกัน สำหรับปริมาณที่มากเกินไปในที่นี้ อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

โดยเฉพาะผู้ที่ไวต่อคาเฟอีน นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยบางส่วนที่พบว่า คาเฟอีนอาจเพิ่มความเสี่ยงจากโรคนอนไม่หลับ โรควิตกกังวล รวมทั้งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงอย่างปวดศีรษะ หน้ามืด กระสับกระส่าย หรือตัวสั่นได้หลังดื่มกาแฟ นอกจากนี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดจากการรับประทานกาแฟ ควรบริโภคโดยหลีกเลี่ยงการผสมน้ำตาล หรือครีมเทียมเพิ่ม เนื่องจากอาจเพิ่มความเสี่ยงของโรคอ้วน ภาวะไขมันสูง ภาวะน้ำตาลสูง และโรคอื่น ๆ ได้

>> ใน 1 วันเราควรรกระจายการดื่มกาแฟ อย่างไรให้ดีต่อสุขภาพ

แนะนำกลุ่มคนที่ควรดื่มกาแฟดีแคฟ แทนกาแฟปกติ

 แนะนำกลุ่มคนที่ควรดื่มกาแฟดีแคฟ แทนกาแฟปกติ

แพทย์อาจแนะนำให้ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อไปนี้ ให้หลีกเลี่ยง ควบคุม หรือเลือกดื่ม กาแฟดีแคฟ แทนกาแฟปกติ

1. ผู้ที่มีโรคประจำตัว

เนื่องจากคาเฟอีนอาจกระตุ้นให้อาการของโรคกำเริบ หรือรุนแรงขึ้นได้ โดยโรคหรือภาวะผิดปกติที่ควรเลี่ยง หรือลดคาเฟอีน เช่น โรคเกี่ยวกับการนอนหลับ โรคไมเกรน หรือโรคปวดหัวเรื้อรังชนิดอื่น โรควิตกกังวล โรคกรดไหลย้อน ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ภาวะความดันโลหิตสูง และผู้ที่มีแผลในกระเพาะ เป็นต้น 

2. ผู้ที่กำลังใช้ยารักษาโรค

คาเฟอีน และยารักษาโรคบางชนิดอาจทำปฏิกิริยาต่อกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือส่งผลให้ยาไม่สามารถออกฤทธิ์รักษาได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มยากระตุ้นที่ออกฤทธิ์เร่งการทำงาน ของระบบประสาท กลุ่มยาปฏิชีวนะ และกลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด 

3. เด็กและสตรีมีตั้งครรภ์

ทารก เด็ก และหญิงตั้งครรภ์ควรจำกัดการดื่มกาแฟ หรือการรับคาเฟอีนในรูปแบบต่าง ๆ เนื่องจากอาจส่งผลต่อเด็ก หรือทารกในครรภ์ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนจากคาเฟอีนขณะตั้งครรภ์ได้ นอกจากนี้ ยังรวมถึงคุณแม่ที่กำลังให้นมบุตร เนื่องจากคาเฟอีนอาจเข้าสู่กระแสเลือด และส่งผ่านน้ำนมไปยังทารกได้